วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ไวรัส PC Antispyware 2010



เจ้าไวรัสตัวนี้ก็กำลังหลอกให้ผู้ใช้ทั่วโลกติดตั้งมันเข้าไปในเครื่อง ดังนั้น แทนที่มันจะปกป้องคอมพิวเตอร์ของคุณ ตรงกันข้าม มันกลับพยายามขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณส่งออกไปให้แฮคเกอร์ ซึ่งรวมถึงหมายเลขบัตรเครดิต ตลอดจนบัญชีธนาคารของคุณ และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าได้เผลอติดตั้งไวรัสตัวนี้เข้าไป หรือไม่? ซึ่งถ้าหากพบก็ลบออกได้ทันที

ที่แย่กว่าการที่ทราบว่า ติดไวรัสตัวนี้เข้าไปแล้วก็คือ เราไม่สามารถกำจัด PC Anti-Spyware 2010 ออกไปได้โดยง่าย เพราะมันก็เหมือนกับไวรัสตัวอื่นๆ ที่่สามารถซ่อนตัวเอง และทำงานในแบคกราวด์โดยที่คุณไม่รู้ตัว เอาเป็นว่า ถึงตอนนี้ คอมพิวเตอร์ของคุณได้ติดมันเข้าไปเรียบร้อยแล้ว แนะนำให้ปฏิบัติตามขั้นตอน ต่อไปนี้ เพื่อกำจัดมันออกไปจากเครื่องเป็นการด่วนจะดีกว่า


1. ขั้นแรกต้องหยุดไม่ให้ทำงานในหน่วยความจำ ด้วยการกำจัด (kill) โพรเซสที่เกี่ยวข้องกับไวรัสตัวนี้ ด้วยการเปิด Task Manager (กดปุ่ม Ctrl+Alt+Del หรือคลิกขวาบนทาสก์บาร์ (taskbar) เลือก Task Manager) คลิกแท็บ Processes สังเกตว่า มีรายการต่อไปนี้ปรากฎอยู่ หรือไม่?


PC_Antispyware2010.exe
Uninstall.exe
jugifyryve.exe
หากคุณพบว่า โพรเซสเหล่านี้กำลังทำงานอยู่ ให้คลิกเลือกทีละรายการแล้วคลิกปุ่ม End Process อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนนี้ยังไม่ได้เป็นการกำจัด หรือถอดถอนไวรัสตัวนี้ออกไปนะครับ เพียงแต่หยุดไม่ให้ทำงานชั่วคราวก่อนเท่านั้น เมื่อคุณรีสตาร์ทเครื่อง ไวรัสก็จะกลับมาทำงานอีกอยู่ดี
2. ขั้นตอนนี้จะเป็นการกำจัด PC Anti-Spyware 2010 ออกไปจากเครื่องคอมพิวเตอร์โดยสมบูรณ์ โดยคุณจะต้องเข้าไปลบมันออกจากรีจิสทรีที่เกี่ยวข้องกับไวรัส วิธีที่ตรวจสอบก็ง่ายมาก เริ่มต้นด้วยการสั่งรันโปรแกรม REGEDIT (กดปุ่ม Windows+R พิมพ์คำสั่ง regedit แล้วกดปุ่ม Enter) จากนั้นคลิกเข้าไปลบรายการข้างล่างนี้


HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Uninstall\PC_Antispyware2010
HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Run\ "PC Antispyware 2010"
HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\PC_Antispyware2010
HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\don’t load\ "scui.cpl"
HKEY_CURRENT_USER\Control Panel\don’t load\ "wscui.cpl"


3. ขั้นตอนสุดท้ายคุณจะต้องลบไฟล์ทั้งหมด และไดเร็กทอรี่ที่เกี่ยวข้องกับ PC Anti-Spyware 2010 โดยเปิดหน้าต่าง Windows Explorer (กดปุ่ม Windows + E) แล้วคลิกเข้าไปลบไดเร็กทอรี่ต่อไปนี้


C:\Program Files\PC_Antispyware2010
C:\Program Files\PC_Antispyware2010data


อย่างไรก็ตาม มันอาจจะยังมีไฟล์ไวรัสตกค้างในโฟลเดอร์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องซ่อนอยู่ในระบบอีก แนะนำให้ตรวจสอบด้วยการพิมพ์ในช่องเสิร์ชว่า "PC_Antispyware2010" โดยเลือกให้ค้นในไดเร็กทอรี่ของระบบ (System directory) และโฟลเดอร์ที่ซ่อนไว้ (History folder) เพื่อลบมันออกไปให้สิ้นซาก


(*สังเกตว่า ไม่ว่าจะกดเพื่อแอคชั่นอะไรก็ตาม มันจะปีอปอัพหน้าต่างชวนให้คุณลงทะเบียนอยู่ตลอดเวลาจนน่ารำคาญ นิสัยแย่มากๆ)




วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

ความรู้เรื่องเมนบอร์ด (Mainboard)

เมนบอร์ด (Mainboard, mother board) หรือ แผงวงจรหลัก เป็นหัวใจสำคัญที่สุดที่อยู่ภายในเครื่อง เมื่อเปิดฝาเครื่องออกมาจะเป็นแผงวงจรขนาดใหญ่วางนอนอยู่ นั่นคือส่วนที่เรียกว่า "เมนบอร์ด"ส่วนประกอบหลักที่สำคัญบนเมนบอร์ดคือ


*ซ็อคเก็ตสำหรับซีพียู
*ชิปเซ็ต (Chip set)
*ซ็อคเก็ตสำหรับหน่วยความจำ
*ระบบบัสและสล็อต
*Bios
*สัญญาณนาฬิกาของระบบ
*ถ่านหรือแบตเตอรี่
*ขั้วต่อสายแหล่งจ่ายไฟ
*ขั้วต่อสวิทช์และไฟหน้าเครื่อง
*จัมเปอร์สำหรับกำหนดการทำงานของเมนบอร์ด
*ขั้วต่อ IDE
*ขั้วต่อ Floppy disk drive
*พอร์ตอนุกรมและพอร์ตขนาน
*พอร์ตคีย์บอร์ดและเมาส์
*พอร์ต USB










การพิจารณาคุณสมบัติของเมนบอร์ดประเด็นสำคัญในการเลือกเมนบอร์ดที่ดีในปัจจุบัน
คือสิ่งต่าง ๆ

Form Factors หมายถึงลักษณะโครงสร้างของเมนบอร์ด ทั้งรูปร่างและขนาด ซึ่งแต่เดิมจะเป็นแบบที่เรียกว่า AT หรือไม่ก็แบบ Baby AT (คือ AT ที่ลดความยาวลงมาในขณะที่ความกว้างเท่าเดิม) ส่วนมาตรฐานใหม่คือ ATX ซึ่งเป็น Baby AT ที่กลับทางจากเดิม คือมีการวางแนวสล็อตและห


น่วยความจำใหม่ให้อยู่ใกล้ ๆ กันจะได้ทำงานร่วมกันได้เป็นอย่างดีไม่มีปัญหา รวมทั้งการระบายความร้อนก็ดีขึ้นเนื่องจากกำหนดให้อยู่ใกล้กับแหล่งจ่ายไฟทีมีพัดลมอยู่ (ตัวเครื่องหรือ Case ก็จะต้องเป็นแบบ ATX ด้วยจะใส่กันได้ลงตัว) รวมทั้งขั้วต่อแหล่งจ่ายไฟแบบใหม่ที่ดีกว่าเดิมแนวโน้มในอนาคตจึงควรเลือกใช้เมนบอร์ดแบบ ATX โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับซีพียูความเร็วสูง ๆ



Bios ควรจะเป็น flash BIOS ซึ่งสามารถ upgrade ได้เสมอด้วยซอฟต์แวร์ โดยไม่ต้องมีการเปลี่ยนชิป
มีซอฟต์แวร์ สำหรับดาวน์โหลดมา Upgrade ระบบปฏิบัติการที่ใช้งานอยู่ เพื่อแก้ข้อผิดพลาดหรือเพิ่มเติมส่วนที่ยังไม่มีรองรับในระบบปฏิบัติการ เช่น ใน Windows 95 ยังไม่มีไดรเวอร์สำหรับอุปกรณ์ UDMA (Ultra DMA) และ USB (Universal Serial Bus) ซึ่งเมนบอร์ดที่ดีควรจะมีไดรเวอร์เหล่านี้มาให้หรือให้ดาวน์โหลดได้ด้วย



มีคู่มือที่ดี ซึ่งเป็นสิ่งทีสำคัญมากของเมนบอร์ด เพราะถ้าไม่มีก็แทบไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขตัวเลือกต่าง ๆ ได้เลย เมื่อต้องการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่ ๆ เข้ามาหรือเปลี่ยนแปลงส่วนประกอบต่างๆ เช่นเพิ่ม RAM หรือเปลี่ยนซีพียู (เพราะจะไม่สามารถกำหนดการทำงานให้ตรงกับที่ต้องการได้ทั่งนี้รวมถึงการ Overclock ด้วยนอกจากนี้ถ้าคู่มือมีรายการข้อผิดพลาดต่าง ๆ ที่แสดงด้วยเสียงก็จะยิ่งดีเพราะเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีมาตรฐานและจำเป็นสำหรับเวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้นจะได้วิเคราะห์ได้ตรงจุด



มีข้อมูลสำหรับการ Upgrade เมนบอร์ด เพื่อให้สามารถใช้กับส่วนประกอบใหม่ ๆ ได้ เช่น เมื่อตอนเริ่มแรกอาจไม่รองรับ Pentium III เพราะยังไม่มีอยู่ แต่ในอนาคตควรจะมีวิธีปรับให้เหมาะสมได้ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ควรจะได้รับการปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ


ซีพียูเลือกว่าจะใช้ซีพียูชนิดใด เนื่องจากซีพียูเป็นตัวกำหนดซ็อคเก็ตที่จะต้องใช้บนเมนบอร์ดจึงต้องเลือกก่อน ปัจจุบัน Pentium II, Pentium III, Celeron, AMD K6-2 และ AMD K7 Athlon เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณที่จ่ายได้ ข้องแนะนำในตอนนี้ก็คือ
Pentium II และ Pentium III
จะต้องเลือกเมนบอร์ดที่ใช้ซ็อคเก็ต Slot 1 และชิปเซ็ต 440BX
Celeron
ควรใช้ i810 ที่มีทุกอย่างอยู่ในตัว เนื่องจากถ้าเลือกซีพียูรุ่นนี้ก็คือเน้นที่ประหยัดอยู่แล้ว และ i810 ก็คือรุ่นล่าสุดที่ออกมาสำหรับ Celeron โดยเฉพาะ
Pentium III
ควรจะใช้ i820 จะเหมาะสมที่สุด
AMD K6-2
จะต้องใช้เมนบอร์ดที่มีซ็อคเก็ต Super 7 ซึ่งมีชิปเซ็ตมากมายให้เลือก ทั้งจาก SiS, ALI Aladdin และ VIA Apollo
AMD Atholn
ก็ต้องใช้เมนบอร์ดและชิปเว็ตสำหรับ Atholn โดยเฉพาะ
Pentium II Xeon
ซึ่งใช้เป็นเซิอร์ฟเวอร์มีแคชระดับสองมากหน่อย (1 หรือ 2 MB) ส่วนจะมีช่องเสียบซีพียูทีสอง (แบบ SMP) หรือไม่ก็ต้องแล้วแต่ความต้องการ



RAM ควรเลือกเมนบอร์ที่สามารถใช้ 64 บิต 168 pin ได้ เนื่องจากเป็นหน่วยความจำชนิดที่มีความเร็วสูงสุดและราคาถูกในขณะนี้ แต่ถ้าจำเป็นจะต้องใช้ EDO RAM หรือ DRAM แบบ 72 pin ที่มีอยู่แล้วก็อาจจะเลือกที่มีสล็อตทั้งสองแบบ ซึ่งปัจจุบันก็มีให้เลือกไม่มากนัก จึงควรตัดใจทิ้ง RAM เก่าไปเสียจะดีกว่า ถ้าเป็นไปควรจะเลือก 100 MHz (10 ns) หรือเร็วกว่านี้เนื่องจากแนวโน้มบัส 66 MHz กำลังจะหมดไปในอีกไม่ช้านี้และ EDO RAM ก็ไม่สามารถทำงานที่ความเร็วสูงกว่า 66 MHz ด้วย


AGP เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการแสดงผลความเร็วสูง ควรจะเลือกเมนบอร์ดที่มีสล็อตแบบนี้ด้วยเสมอ ส่วนความเร็ว (2x, 4x) ก็แล้วแต่ความต้องการใช้งานและชิปเซ็ตที่ใช้ด้วย


PCI เป็นสล็อตที่จำเป็นอย่างยิ่ง มียิ่งมากได้ก็ยิ่งดี เว้นแต่ว่าจะต้องใช้การ์ดที่เป็น ISA ด้วยก็จะต้องเลือกให้มีสล็อต ISA มากพอกับจำนวนการ์ดที่ต้องการใช้


ACPI ปัจจุบันเมนบอร์ดทั้งหมดควรจะมีมาตรฐาน ACPI อยู่แล้วซึ่งนอกจากประหยัดพลังงานได้เป็นอย่างดีแล้วยังสามารถติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมได้ง่ายอีกด้วย

ผู้ผลิตเมนบอร์ดและเวบไซท์มีดังนี้

Intel Corporation
www.intel.com/design/motherbd/
Abit Computer
www.abit.com.tw
ASUS
www.asus.com
Elitegroup Computer Systems
www.ecs.com.tw/ecs/ecs/mainboard.html
First International Computer
www.fic.com.tw
Micronics Computer
www.micronics.com/micronics
Gigabyte
www.giga-byte.com
Supetmicro
www.supermicro.com
Tyan
www.tyan.com


วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การติดตั้งและการลบโปรแกรม Linux 8.04

การติดตั้ง
1.ใส่แผ่น CD Linux ของ Ubuntu
2.ปรากฏหน้าต่างของ Ubuntu CD Menu
3.เลือกที่ Install inside Windows
4.รอสักครู่จะปรากฏหน้าต่าง Ubuntu setup เลือกไดร์ภาษา เลือกภาษา English
แล้วใส่ Password และ Username
5.คลิกที่ Install รอสักครุ่
6.จะปรากฏหน้าต่างการติดตั้งเรีบยร้อย เลือก Reboot now คลิกเลือกที่ Frinish แล้วนำแผ่นออก
7.เลือก Restart
8.ปรากฏหน้าต่าง Ubuntu



การนำโปรแกรมออกจากการติดตั้ง
1.เลือก Start Setting
2.เลืกที่เมนู Contrad Panel
3.เลือก Add or Remove Progrom
4.เลือกลงมาที่ Ubuntu คลิก Change/Remove

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การติดตั้งโปรแกรมวินโดวส์‏

1.นำแผ่น CD ใส่ไดว์

2.รอสักครู่ ขึ้นหน้าจอ windows Steup <หน้าต่างสีฟ้า>

3.ปรากฎหน้าต่างการติดตั้งวินโดวส์ เลือกไดว์ที่ต้องการติดตั้งเลื่อนลูกศรไปยังรายการ c:Patition1

Fat 32

4.กด Enter เพื่อติดตั้งวินโวส์

5.เลือกลูกศรไปงรายการ Format the Partition Using the NTFS File system

6.กด Enter

7.กด F โปรแกรมจะทำการ Format

8.รอ Bootเครื่องใหม่ เครื่องปิดและเปิดอัตโนมัติ

9.ปรากฎหน้าต่างติดตั้งวินโดวส์ แบบกราฟิก

10.รอจนกระทั่งติดตั้งวินโดวส์สมบูรณ์ Bootเครื่องใหม่

11.บางเครื่องถามหาไดรเวอร์ การ์ดจอ ให้กด OK

12ปรกฎหน้าต่าง Welcom to Microsoft Windows คลิก Next>

13.คลิก เลือก not

14.คลิก Next

15.ตั้งชื่อตามต้องการ

16.คลิก Next

17.คลิก Finish

18.เข้าสู่หน้าต่างโปรแกรมวินโดวส์

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2552

อุปรณ์คอมพิวเตอร์

1. จอภาพ (Monitor)
เป็นอุปกรณ์แสดงผลที่มีความสำคัญมากที่สุด เพราะจะติดต่อโดยตรงกับผู้ใช้ ชนิดของจอภาพที่ใช้ในเครื่องพีซีโดยทั่วไปจะแบ่งได้เป็น 2 ชนิด
- จอซีอาร์ที (CRT : Cathode Ray Tube) โดยมากจะพบในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ ซึ่งลักษณะ จอภาพชนิดนี้จะคล้ายโทรทัศน์ ซึ่งจะใช้หลอดสุญญากาศ


-จอแบบ CRT
การทำงานของจอประเภทนี้จะทำงานโดย อาศัยหลอดภาพ ที่สร้างภาพโดยการยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังที่ผิวหน้าจอ ที่มีสารพวกสารประกอบของฟอสฟอรัส ฉาบอยู่ที่ผิว ซึ่งจะเกิดภาพขึ้นมาเมื่อสารเหล่านี้เกิดการเรืองแสงขึ้นมา เมื่อมีอิเล็กตรอนมากระทบ ซึ่งในส่วยของจอแบบ Shadow Mask นั้น จะมีการนำโลหะที่มีรูเล็กๆ มาใช้ในการกำหนดให้แสงอิเล็กตรอนนั้นยิงมาได้ถูกต้อง และแม่นยำ ซึ่งระยะห่างระหว่างรูนี้เราเรียกกันว่า Dot Pitch ซึ่งในรูนี้จะมีสารประกอบของฟอสฟอรัสวางเรียงกันอยู่เป็น 3 จุด 3 มุม โดยแต่ละจุดจะเป็นสีของแม่สีนั้นก็คือ สีแดง สีเขียว และสีน้ำเงิน ซึ่งแต่ละจุดนี้เราเรียกว่า Triad ในส่วนของจอแบบ Trinitron นั้นจะมีการทำงานที่เหมือนกันแต่ต่างกันที่ ไม่ได้ใช้โลหะเป็นรูแต่จะใช้ โลหะที่เป็นเส้นเล็กๆ ขึงพาดไปตาม แนวตั้ง เพื่อที่จะให้อิเล็คตรอนนั้นตกกระทบกับผิวจอที่มีสารประกอบของฟอสฟอรัสได้มากขึ้น สำหรับจอ Trinitron ในปัจจุบันนี่ได้มีการพัฒนาให้มีความแบนราบมากขึ้นซึ่งจอแบบนี้จะเรียกกันว่า FD Trinitron (Flat Display Trinitron) ซึ่งมีมากมายในปัจจุบันและจะเข้ามาแทนที่จะแบบเดิมๆ อีกทั้งราคายังถูกลงเป็นอย่างมากด้วย

- จอแอลซีดี (LCD : Liquid Crystal Display) ซึ่งมี ลักษณะแบนราบ จะมี ขนาดเล็กและบาง เมื่อเปรียบเทียบกับจอภาพแบบซีแอลที
จอแบบ LCD

การทำงานนั้นจะไม่เหมือนกับจอแบบ CRT แม้สักนิดเดียว ซึ่งการแสดงภาพนั้นจะซับซ้อนกว่ามาก การทำงานนั้นอาศัยหลักของการใช้ความร้อนที่ได้จากขดลวด มาทำการเปลี่ยนและ บังคับให้ผลึกเหลวแสดงสีต่างๆ ออกมาตามที่ต้องการซึ่งการแสดงสีนั้นจะเป็นไปตามที่กำหนด ไว้ตามมาตรฐานของแต่ละ บริษัท จึงทำให้จอแบบ LCD มีขนาดที่บางกว่าจอ CRT อยู่มาก อีกทั้งยังกินไฟน้อยกว่า จึงทำให้ผู้ผลิตนำไปใช้งานกับ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบเคลื่อนที่โน้ตบุ๊ค และเดสโน้ต ซึ่งทำให้เครื่องมีขนาดที่บางและเล็กสามารถพกพาไปได้สะดวก ในส่วนของการใช้งานกับเครื่องเดสก์ท็อปทั่วไป ก็มีซึ่งจอแบบ LCD นี้จะมีราคาที่แพงกว่าจอทั่วไปอยู่ประมาณ 2 เท่าของ ราคาในปัจจุบัน


2. เคส (Case)
เคส คือ โครงหรือกล่องสำหรับประกอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ไว้ภายใน การเรียกชื่อ และขนาด ของเคสจะแตกต่างกันออกไป ซึ่งในปัจจุบันมีหลายแบบที่นิยมกัน แล้วแต่ผู้ซื้อจะเลือกซื้อตามความเหมาะสม ของงาน และสถานที่นั้น
เคส (case)




3. พาวเวอร์ซัพพลาย (Power Supply)
เป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับชิ้นส่วนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ซึ่งถ้าคอมพิวเตอร์มีอุปกรณ์ต่อพวงเยอะๆ เช่น ฮาร์ดดิสก์ ซีดีรอมไดรฟ์ ดีวีดีไดรฟ์ก็ควรเลือกพาวเวอร์ซัพพลายที่มีจำนวนวัตต์สูง เพื่อให้สามารถ จ่ายกระแสไฟได้เพียงพอ
Power Supply

4. คีย์บอร์ด (Keyboard)
เป็นอุปกรณ์ในการรับข้อมูลที่สำคัญที่สุด มีลักษณะคล้ายแป้นพิมพ์ ของเครื่องพิมพ์ดีด มีจำนวนแป้น 84 - 105 แป้น ขึ้นอยู่กับแป้นที่เป็น กลุ่มตัวเลข (Numeric keypad) กลุ่มฟังก์ชัน (Function keys) กลุ่มแป้นพิเศษ (Special-purpose keys) กลุ่มแป้นตัวอักษร (Typewriter keys) หรือกลุ่มแป้นควบคุมอื่น ๆ (Control keys) ซึ่งการสั่งงานคอมพิวเตอร์และการทำงานหลายๆ อย่างจำเป็นต้องใช้แป้นพิมพ์เป็นหลัก
Keyboard
5. เมาส์ (Mouse)
อุปกรณ์รับข้อมูลที่นิยมรองจากคีย์บอร์ด เมาส์จะช่วยในการบ่งชี้ตำแหน่งว่าขณะนี้กำลังอยู่ ณ จุดใดบนจอภาพ เรียกว่า "ตัวชี้ตำแหน่ง (Pointer)" ซึ่งอาศัยการเลื่อนเมาส์ แทนการกดปุ่มบังคับทิศทางบนคีย์บอร์ด
Mouse

6. เมนบอร์ด (Main board)
แผ่นวงจรไฟฟ้าแผ่นใหญ่ที่รวมเอาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญๆมาไว้ด้วยกัน ซึ่งเป็นส่วนที่ควบคุม การทำงานของ อุปกรณ์ต่างๆ ภายในพีชีทั้งหมด มีลักษณะเป็นแผ่น รูปร่างสี่เหลี่ยมแผ่นที่ใหญ่ที่สุดในพีชี ที่จะรวบรวมเอาชิปและไอชี (IC = Integrated Circuit) รวมทั้ง การ์ดต่อพ่วงอื่นๆ เอาไว้ด้วยกันบนบอร์ดเพียงอันเดียวเครื่องพีชีทุกเครื่องไม่สามารถทำงาน ได้ถ้าขาดเมนบอร์ด
Mainboard



7. ซีพียู (CPU)
ซีพียูหรือหน่วยประมวลผลกลาง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โปรเซสเซอร์ (Processor) หรือ ชิป (chip) นับเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญมากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลจากข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อน เข้ามาทางอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลตามชุดคำสั่งหรือโปรแกรมที่ผู้ใช้ต้องการใช้งาน หน่วยประมวลผลกลาง ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ 1) หน่วยคำนวณและตรรกะ (Arithmetic & Logical Unit: ALU) หน่วยคำนวณตรรกะ ทำหน้าที่เหมือนกับเครื่องคำนวณอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยทำงานเกี่ยวกับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก ลบ คูณ หาร อีกทั้งยังมีความสามารถอีกอย่างหนึ่งที่เครื่องคำนวณธรรมดาไม่มี คือ ความสามารถในเชิงตรรกะศาสตร์ หมายถึง ความสามารถในการเปรียบเทียบตามเงื่อนไขและกฎเกณฑ์ทางคณิตศาสตร์ เพื่อให้ได้คำตอบออกมาว่าเงื่อนไข นั้นเป็น จริง หรือ เท็จ ได้ 2) หน่วยควบคุม (Control Unit) หน่วยควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมลำดับขั้นตอนการประมวลผล รวมไปถึงการประสานงานกับอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล อุปกรณ์แสดงผล และหน่วยความจำสำรองด้วย ซีพียูที่มีจำหน่ายในท้องตลาด ได้แก่ Pentium III , Pentium 4 , Pentium M (Centrino) , Celeron , Dulon , Athlon
CPU

8. การ์ดแสดงผล (Display Card)
การ์ดแสดงผลใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่ได้รับมาจากซีพียู โดยที่การ์ดบางรุ่นสามารถประมวลผลได้ในตัวการ์ด ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระการประมวลผลให้ซีพียู จึงทำให้การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นเร็วขึ้นด้วย ซึ่งตัวการ์ดแสดงผลนั้นจะมีหน่วยความจำในตัวของมันเอง ถ้าตัวการ์ดมีหน่วยความจำมาก ก็จะรับข้อมูลจากซีพียูได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพมีความเร็วสูงขึ้นด้วย
Display Card หลักกันทำงานพื้นฐานของการ์ดแสดงผลจะเริ่มต้นขึ้น เมื่อโปรแกรมต่างๆ ส่งข้อมูลมาประมวลผลที่ ซีพียูเมื่อซีพียูประมวลผล เสร็จแล้ว ก็จะส่งข้อมูลที่จะนำมาแสดงผลบนจอภาพมาที่การ์ดแสดงผล จากนั้น การ์ดแสดงผล ก็จะส่งข้อมูลนี้มาที่จอภาพ ตามข้อมูลที่ได้รับมา การ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ๆ ที่ออกมาส่วนใหญ่ ก็จะมีวงจร ในการเร่งความเร็วการแสดงผลภาพสามมิติ และมีหน่วยความจำมาให้มากพอสมควร


9. แรม (RAM)
RAM ย่อมาจากคำว่า Random-Access Memory เป็นหน่วยความจำหลักแต่ไม่ถาวร ซึ่งจะต้องมีไฟมาหล่อเลี้ยงอุปกรณ์ตลอดในการทำงาน โดยถ้าเกิดไฟฟ้ากระพริบหรือดับ ข้อมูลที่ถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำจะหายไปทันที
SDRAM DDR-RAM RDRAM โดยหลักการทำงานคร่าวๆ ของแรมนั้นเริ่มต้นที่รับข้อมูลจากผู้ใช้ผ่านอุปกรณ์ Input จากนั้นก็จะส่งข้อมูลไปยัง CPU ในการประมวลผล เมื่อ CPU ประมวลผลเสร็จแล้ว แรมจะรับข้อมูลที่ได้รับการประมวลผลแล้ว ออกไปยังอุปกรณ์ Output ต่อไป โดยหน่วยความจำแรมที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายชนิด เช่น SDRAM, DDR-RAM, RDRAM



10. ฮาร์ดดิสก์ (Hard disk)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือโปรแกรมต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ โดยฮาร์ดดิสค์จะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีเปลือกนอก เป็นโลหะแข็ง และมีแผงวงจรสำหรับการควบคุมการทำงานประกบอยู่ที่ด้านล่าง พร้อมกับช่องเสียบสายสัญญาณและสายไฟเลี้ยง ส่วนประกอบภายในจะถูกปิดผนึกไว้อย่างมิดชิด โดยฮาร์ดดิสค์ส่วนใหญ่จะประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็ก(platters) สองแผ่นหรือมากกว่ามาจัด เรียงอยู่บนแกนเดียวกันเรียก Spindle ทำให้แผ่นแม่เหล็กหมุนไปพร้อม ๆ กัน จากการขับเคลื่อนของมอเตอร์ แต่ละหน้าของแผ่นจานจะมีหัวอ่านเขียนประจำเฉพาะ โดยหัวอ่านเขียนทุกหัวจะเชื่อมติดกันคล้ายหวี สามารถเคลื่อนเข้าออกระหว่างแทร็กต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ซึ่งอินเตอร์เฟสของฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ในปัจจุบัน มีอยู่ 3 ชนิดด้วยกัน - IDE (Integrated Drive Electronics) เป็นระบบของ ฮาร์ดดิสก์อินเตอร์เฟสที่ใช้กันมากในปัจจุบันนี้ การต่อไดร์ฟฮาร์ดดิสก์แบบ IDE จะต่อผ่านสายแพรและคอนเน็คเตอร์จำนวน 40 ขาที่มีอยู่บนเมนบอร์ด ส่วนใหญ่แล้วใน 1 คอนเน็คเตอร์ จะสามารถต่อฮาร์ดดิสก์ได้ 2 ตัวและบนเมนบอร์ด
Harddisk แบบ IDE
IDE Cable - SCSI (Small Computer System Interface)เป็นอินเตอร์เฟสที่แตกต่างจากอินเตอร์เฟสแบบอื่น ๆ มาก โดยจะอาศัย Controller Card ที่มี Processor อยู่ในตัวเองทำให้เป็นส่วนเพิ่มขยายกับแผงวงจรใหม่โดยจะสนับสนุนการต่ออุปกรณ์ได้ถึง 8 ตัว แต่การ์ดบางรุ่นอาจจะได้ถึง 14 ตัวทีเดียว โดยส่วนใหญ่แล้วจะใช้งานในรูปแบบ Server เพราะมีราคาแพงแต่มีความเร็วในการส่งข้อมูลสูง
Harddisk แบบ SCSI
SCSI controller - Serial ATA (Advanced Technology Attachment)เป็นอินเตอร์เฟสแบบใหม่ เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 26 มิถุนายน 2545 งาน PC Expo ใน New York มีความเร็วในเข้าถึงข้อมูลถึง 150 Mbytes ต่อ วินาที และให้ผลตอบสนองในการทำงานได้เร็วมากในส่วนของ extreme application เช่น Game Home Video และ Home Network Hub โดยเป็นอินเตอร์เฟสที่จะมาแทนที่ของ IDE ในปัจจุบัน
Harddisk แบบ Serial ATA
Serial ATA Cable

11. CD-ROM / CD-RW / DVD / DVD-RW
เป็นไดรฟ์สำหรับอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีรอม หรือดีวีดีรอม ซึ่งถ้าหากต้องการบันทึกข้อมูลลงบนแผ่นจะต้องใช้ไดรฟ์ที่สามารถเขียนแผ่นได้คือ CD-RW หรือ DVD-RW โดยความเร็วของ ซีดีรอมจะเรียกเป็น X เช่น 16X , 32X หรือ 52X โดยจะมี Interface เดียวกับ Harddisk
CD-ROM การทำงานของ CD-ROM ภายในซีดีรอมจะแบ่งเป็นแทร็กและเซ็กเตอร์เหมือนกับแผ่นดิสก์ แต่เซ็กเตอร์ในซีดีรอมจะมีขนาดเท่ากัน ทุกเซ็กเตอร์ ทำให้สามารถเก็บข้อมูลได้มากขึ้น เมื่อไดรฟ์ซีดีรอมเริ่มทำงานมอเตอร์จะเริ่มหมุนด้วยความเร็ว หลายค่า ทั้งนี้เพื่อให้อัตราเร็วในการอ่านข้อมูลจากซีดีรอมคงที่สม่ำเสมอทุกเซ็กเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นเซ็กเตอร์ ที่อยู่รอบนอกกรือวงในก็ตาม จากนั้นแสงเลเซอร์จะฉายลงซีดีรอม โดยลำแสงจะถูกโฟกัสด้วยเลนส์ที่เคลื่อนตำแหน่งได้ โดยการทำงานของขดลวด ลำแสงเลเซอร์จะทะลุผ่านไปที่ซีดีรอมแล้วถูกสะท้อนกลับ ที่ผิวหน้าของซีดีรอมจะเป็น หลุมเป็นบ่อ ส่วนที่เป็นหลุมลงไปเรียก "แลนด์" สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเจาะลึกลงไปเรียก "พิต" ผิวสองรูปแบบนี้เราใช้แทนการเก็บข้อมูลในรูปแบบของ 1 และ 0 แสงเมื่อถูกพิตจะกระจายไปไม่สะท้อนกลับ แต่เมื่อแสงถูกเลนส์จะสะท้อนกลับผ่านแท่งปริซึม จากนั้นหักเหผ่านแท่งปริซึมไปยังตัวตรวจจับแสงอีกที ทุกๆช่วงของลำแสงที่กระทบตัวตรวจจับแสงจะกำเนิดแรงดันไฟฟ้า หรือเกิด 1 และ 0 ที่ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ ส่วนการบันทึกข้อมูลลงแผ่นซีดีรอมนั้นต้องใช้แสงเลเซอร์เช่นกัน โดยมีลำแสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่อง บันทึกข้อมูลส่องไปกระทบพื้นผิวหน้าของแผ่น ถ้าส่องไปกระทบบริเวณใดจะทำให้บริเวณนั้นเป็นหลุมขนาดเล็ก บริเวณทีไม่ถูกบันทึกจะมีลักษณะเป็นพื้นเรียบสลับกันไปเรื่อยๆตลอดทั้งแผ่น


12. ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk)
เป็นอุปกรณ์ที่กำเนิดมาก่อนยุคของพีซีเสียอีก โดยเริ่มจากที่มีขนาด 8 นิ้ว กลายมาเป็น 5.25 นิ้ว จนมาถึงปัจจุบันซึ่งอยู่ที่ 3.5 นิ้ว ในส่วนของความจุเริ่มต้นตั้งแต่ไม่กี่ร้อยกิโลไบต์มาเป็น 1.44 เมกะไบต์ และ 2.88 เมกะไบต์ ตามลำดับ
Floppy Disk Drive ในปัจจุบันการใช้งานฟล็อปปี้ดิสก์นั้นน้อยลงไปมากเพราะ เนื่องจากจุข้อมูลได้น้อยซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่ฟล็อปปี้ดิสก์ก็ยังคงเป็นมาตรฐานหนึ่งที่เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องต้องมี การพัฒนาฟล็อปปี้ดิสก์ก็ไม่ได้หยุดยั้งไปเสียทีเดียว ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่ใช้ระบบ Optical ทำให้สามารถขยายความจุไปได้ถึง 120 เมกะไบต์ต่อแผ่น